กรุงเทพฯ ประเทศไทย - 14 พฤศจิกายน 2567 - เนื่องในวันเบาหวานโลก ปี 2567 จักษุแพทย์เตือนคนไทยวัยทำงานหมั่นตรวจเช็คสุขภาพตาเป็นประจำ หลายคนมักมองข้ามสัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ ของปัญหาสุขภาพตา เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการเมื่อยล้าจากการทำงานหนัก หรือใช้สายตาไปกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน แต่รู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงอย่าง "ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา" ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Macular Edema หรือ DME) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในชั้นจอประสาทตามีความผิดปกติ ส่งผลให้จุดรับภาพจอตาบวม โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ จากสถิติพบว่า ปัจจุบันในประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี3 และปัจจุบันมีคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคเบาหวานถึง 6.9 ล้านคน4 โดยคนไทยอายุ 30 - 60 ปี มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานถึง 12%5 ที่น่าวิตกกว่านั้นคือ โรคเบาหวานในทุกอายุมีโอกาสพัฒนาเป็นภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา (DME) ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยเบาหวาน6 โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะดังกล่าว เนื่องจากอาการมักไม่แสดงชัดเจนในช่วงแรก
ด้วยเหตุนี้ การตรวจคัดกรองและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรค DME อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ด้านจอตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า “สถานการณ์ภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยกำลังน่าเป็นห่วง จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา7 ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันและอาจเกิดกับตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ โดยที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดบริเวณดวงตา และหากสังเกตุจากภายนอกก็อาจไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของดวงตา ด้วยเหตุนี้ โรคทางสายตาจึงถือเป็นภัยเงียบ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจว่าการมองเห็นไม่ชัดเป็นผลจากค่าสายตาที่เปลี่ยนไป"
กรณีของ คุณ อัจฉรา เซ่งฮะ นักธุรกิจ วัย 51 ปี เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง "ดิฉันเป็นอดีตพนักงานธนาคาร ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาการเงินและทำธุรกิจของตัวเอง สมัยก่อนไม่เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย และใช้ชีวิตไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่าไหร่ เพราะคิดว่าอายุน้อยคงไม่เป็นไร ใช้ชีวิตเต็มที่สะสมมานานกว่า 20 ปี จนกระทั่งตรวจเจอว่าเป็นเบาหวานมามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เคยคิดว่าจะส่งผลกระทบกับดวงตา ต่อมาเริ่มมีอาการมีเส้นเหมือนยัยแมงมุมเกิดขึ้นที่ตา พอไปพบหมอถึงรู้ว่าตามีปัญหาเกิดจากภาวะเบาหวานระยะที่สาม หากเกินขั้นนี้ไป คือตาบอดค่ะ"
การรักษาภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาในประเทศไทยมีวิวัฒนาการดีขึ้นจากเมื่อก่อน นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ อธิบายว่า "เมื่อราว 10 กว่าปีที่แล้ว แนวทางการรักษาหลักของโรคทางจอประสาทตา รวมถึงภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาคือ การใช้เลเซอร์ ซึ่งวิธีดังกล่าวมักจะไม่สามารถทำให้การมองเห็นดีขึ้นได้มาก แต่การใช้เลเซอร์มีส่วนช่วยชะลอไม่ให้โรคลุกลามแย่ลงได้ ต่อมา มีการพัฒนาเป็นยาฉีดเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตา โดยเป็นยาที่ออกฤทธิ์กลไกเดียวโดยยับยั้งที่ VEGF (Anti-VEGF) ช่วยลดการงอกของเส้นเลือดที่จอประสาทตา ผลที่ได้คือสามารถทำให้คุณภาพการมองเห็นของผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ดีการมองเห็นที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจำเป็นต้องทำการฉีดยาเข้าน้ำวุ้นตาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความถี่ในการฉีดยาแต่ละชนิดแตกต่างกันไป บางชนิดผู้ป่วยต้องเข้ารับการฉีดยาบ่อยทุก 1-2 เดือน ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ระยะทางจากบ้านและโรงพยาบาลห่างไกลกันมาก หรืออยู่คนละจังหวัด ผู้ป่วยที่มีคุณภาพการมองเห็นไม่ดีจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้ดูแลซึ่งอาจจำเป็นต้องลางานมาโรงพยาบาลบ่อยๆ ปัจจุบัน ยาฉีดเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตามีการพัฒนามากขึ้น เป็น dual pathway inhibitor (Anti Ang-2/VEGF) ซึ่งยับยั้งสองกลไกหลักของการเกิดโรค คือ ยับยั้งทั้ง VEGF และ Ang-2 ที่นอกจากจะช่วยลดการงอกของเส้นเลือดแล้ว ยังช่วยลดการรั่วของเส้นเลือด ลดการอักเสบของเส้นเลือด และทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตามีความแข็งแรงมากขึ้น ยากลุ่มนี้จึงออกฤทธิ์ได้นานกว่าเดิม ทำให้ลดความถี่ในการฉีดยาลงได้ จากผลการวิจัยทางคลินิก, พบว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยในงานวิจัยได้รับการฉีดยาเพียง 4 เดือน ครั้ง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ดีกว่าเดิม ส่วนเรื่องของความปลอดภัยและอาการข้างเคียง จากผลการวิจัยทางคลินิก8,9 ในผู้ป่วยมากกว่า 3,200 ราย และผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ได้รับยาจากการรักษาจริงอีกราว 4,000,000 เข็ม10 ยังไม่พบความแตกต่างของอาการข้างเคียงระหว่างยา dual pathway inhibitor (Anti Ang-2/VEGF) กับยาฉีดชนิดเดิมที่เคยมีมาในอดีตแต่อย่างใด ”
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ถึง 95%11 นพ. ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ กล่าวเสริม "ในกรณีของผู้ป่วยที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตา หากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาการของโรคมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นได้ภายในระยะเวลา 3-5 ปี และมีโอกาสสูงที่ผู้ป่วยจะสามารถหยุดยาได้"
"โชคดีที่ดิฉันได้รับการรักษาทันเวลา หลังได้รับการฉีดยาเข้าไปในน้ำวุ้นลูกตาที่ยับยั้งสองกลไก (Anti Ang-2/VEGF) พร้อมกับการลดน้ำตาลและดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้การมองเห็นของดิฉันกลับมาดีขึ้น ปัจจุบันคุณหมอบอกว่าผลลัพธ์คือเหมือนคนปกติแล้ว ด้วยการมาพบแพทย์ตามนัดหมายเพียง 3 เดือน ครั้ง เท่านั้น" คุณ อัจฉรา กล่าว
"อยากฝากถึงคนไทยทุกคน ให้ดูแลสุขภาพตั้งแต่เริ่มต้นไม่ว่าจะเรื่องของอาหารการกินที่ดีต่อสุขภาพและถูกสุขลักษณะ พร้อมกับการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย และไม่ประมาทกับชีวิต เพราะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย" คุณ อัจฉรา กล่าวเสริม
"ผู้ที่มีภาวะจุดรับภาพชัดบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ ควรปรับพฤติกรรมและควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม, ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด, งดการสูบบุหรี่ และควรต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่องตามการนัดของแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรหมั่นตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อการวินิจฉัยที่เร็วและเริ่มการรักษาอย่างทัน ท่วงที ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการสูญเสียการมองเห็น เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นส่วนสำคัญยิ่งกับคุณภาพชีวิต” นพ. ธนาพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
โรช ไทยแลนด์ มุ่งมั่นในการเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราเชื่อว่าการตรวจคัดกรองและการรักษาอย่างต่อเนื่องมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น และจะเดินหน้าร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา
#worlddiabetesday2024 #เบาหวานขึ้นตา #ภัยเงียบที่คุกคามดวงตา #ตรวจตาเป็นประจำ #ตาพร่ามัวอย่าชะล่าใจ
อ้างอิง:
J Med Assoc Thai Vol. 100 Suppl. 1 2017
https://www.nuhs.edu.sg/patient-care/find-a-condition/diabetic-retinopathy
ตัวชี้วัดสำคัญประเทศไทย พ.ศ. 2567 https://www.nso.go.th/public/e-book/Indicators-Thailand/Thailand-Indicators-2567/22/ และ รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562 - 2563 https://www.hiso.or.th/hiso/picture/reportHealth/report/sreport6/sreport6_full.pdf
https://www.hiso.or.th/hiso/picture/reportHealth/report/sreport6/sreport6_full.pdf
Leasher, J. L. et al. Global Estimates on the Number of People Blind or Visually Impaired by Diabetic Retinopathy: A Meta-Analysis from 1990 to 2010. Diabetes Care. 2016; 39:1643–9.
Heier JS et al. Efficacy, durability, and safety of intravitreal faricimab up to every 16 weeks for neovascular age-related macular degeneration (TENAYA and LUCERNE): two randomised, double-masked, phase 3, non-inferiority trials. www.thelancet.com Published online January 24, 2022 https://doi.org/10.1016/S0140-6736(22)00010-1
Wykoff CC et al. Efficacy, durability, and safety of intravitreal faricimab with extended dosing up to every 16 weeks in patients with diabetic macular oedema (YOSEMITE and RHINE): two randomised, double-masked, phase 3 trials. www.thelancet.com Published online January 24, 2022 https://doi.org/10.1016/S0140-6736(22)00018-6
Roche Data on File. July 2024
https://www.nuhs.edu.sg/patient-care/find-a-condition/diabetic-retinopathy